Powered By Blogger

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

html






ยินดีต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดี







คณะวิชาศิลปรรม

วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี

ปวส. 1 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก รุ่นที่ 7/53












ชื่อ อัสนา พึ่งประสิทธิ์



177/79 ต.บางแค อ.บางแค จ.กทม. 10160



คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด





อาหารมราชอบ พะแนกหมูไข่ดาว



ศลปินในดวงใจ มีหลายคน



เบอร์ 087-0265827/E-mail deang_7649@hotmail.com



นิสัย เป็นคนตลก เฮฮา บ้า ขี้โมโห ทะลึง กินเก่ง สรุปแล้วเป็นคนดี







THONBUREE VOCATIONAL COLLEGE



182 panitchakanthonburi bangkokyai bangkok Thailand









วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว


ประวัติส่วนตัว
ชื่อ อัสนา พึ่งประสิทธิ์
ชื่อเล่น เดียง
เกิด 11/08/2533
ศาสนา พุทธ
สัญชาติ ไทย
อายุ 19สถานศึกษา Thonburi Vocational College
สาขาวิชา Computer Graphic Art
ระดับ ปวส.
อาชีพ นักศึกษา
สถานะ โสด

Fixed Gear


สมาชิกกลุ่ม bkk fixed

บนถนนของกรุงเทพฯ มันคือที่ที่เต็มไปด้วยรถรามากมาย จนทำให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดที่จวนจะกลายเป็นปัญหาโลกแตกเข้าไปทุกวัน เพราะคิดแก้เท่าไหร่ก็ยังหาทางออกไม่ได้สักที ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่ชุด หรือผู้ว่าฯ กทม. จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันมาบริหารเมืองแสนศิวิไลซ์นี้กันสักกี่คน รถติดก็ยังเป็นปัญหาเรื้อรังที่อยู่คู่กับคนกรุงไม่เคยเปลี่ยน

แต่ไม่ว่ารถจะติดขนาดไหน การจราจรจะคับคั่งเพียงใด หากมีสองล้อคู่ใจที่ชื่อว่าเจ้า Fixed Gear แล้วล่ะก็ คุณจะได้โลดแล่นไปอย่างอิสระ และจะไม่มีทางได้ใช้เจ้าอุปกรณ์สามัญประจำยานพาหนะที่เรียกว่า ‘เบรก’ อีกเลย



นักปั่นบางคนก็ใช้จักรยานฟิกซเกียร์ในการเล่นท่าทางต่างๆ ตามสไตล์เอ็กซ์ตรีม

ฟิกซ์เกียร์คืออะไร

จริงๆ แล้ว ฟิกซ์เกียร์ (Fixed Gear) ก็คือจักรยานประเภทหนึ่งที่หากดูผ่านๆ ก็คงไม่เห็นความแตกต่างจากจักรยานชนิดอื่น จากชื่อเรียกฟิกซ์เกียร์ก็บอกอยู่แล้วว่ามันเป็นจักรยานที่มีเกียร์เดียว แต่สิ่งที่พิเศษและถือเป็นเสน่ห์ของจักรยานชนิดนี้ก็คือ มันไม่มีเบรก

มีเกียร์เดียวยังพอว่า แต่เมื่อไม่มีเบรกแล้วจะเอาออกมาปั่นตามท้องถนนได้ยังไง

นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นเสมอ เมื่อคนทั่วไปได้รู้จักกับจักรยานฟิกซ์เกียร์เป็นครั้งแรก คำตอบก็คือ ถึงมันจะไม่มีเบรกที่เป็นระบบเบรกมือเหมือนจักรยานทั่วไป แต่ฟิกซ์เกียร์ก็เบรกได้โดยอาศัยแรงจากน่องและฝ่าเท้าของคนขี่ในการเกร็งเพื่อยั้งบันไดจักรยานให้หยุดลง ซึ่งการเบรกก็ต้องอาศัยความชำนาญของผู้ขับขี่พอสมควร ที่ระบบเบรกเป็นแบบนี้ก็เพราะจักรยานฟิกซ์เกียร์เป็นจักรยานแบบไดเร็คต์ไดรฟ์ ที่ล้อจักรยานจะหมุนเมื่อเท้าปั่น และหยุดหมุนเมื่อเราหยุดปั่น

“มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเท้าของเราเลย เบรกก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เราต้องควบคุมรถให้ได้ตลอด หลุดปุ๊บก็มีกลิ้ง กลิ้งกันมาเกือบทุกคนแล้วแหละ”

ชัชวาล จันทโชติบุตร

ชัชวาล จันทโชติบุตร หรือ ชัช ช่างภาพหนุ่มที่หลงใหลในความดิบของจักรยานฟิกซ์เกียร์ เล่าถึงเสน่ห์เฉพาะตัวของจักรยานประเภทนี้ และคุณสมบัติข้อนี้เองที่ทำให้ฟิกซ์เกียร์กลายเป็นยานพาหนะคู่ใจของคนรุ่นใหม่ที่รักในความท้าท้าย

นอกจากความดิบของระบบขับขี่ที่เร้าใจแล้ว ฟิกซ์เกียร์ยังเป็นอะไรได้มากกว่าจักรยานทั่วไปด้วย ทั้งสามารถพลิกแพลงนำมาเล่นท่าต่างๆ ได้ คล้ายๆ กับจักรยานเอ็กซ์ตรีม และยังเป็นพาหนะที่บ่งบอกรสนิยมของผู้ขับขี่ได้อีก

หากคุณเคยผ่านไปเดินเล่นหรือทำธุระที่สยามสแควร์ เชื่อว่าจะต้องมีสักครั้งที่ได้เห็นกลุ่มวัยรุ่นขี่จักรยานรูปทรงสวยๆ สไตล์ย้อนยุคกันมาบ้าง นั่นแหละคือสไตล์การตกแต่งของฟิกซ์เกียร์ จักรยานไม่มีเบรกที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในเวลานี้

จักรยานฟิกซ์เกียร์แบบดั้งเดิม อุปกรณ์ทุกชิ้นเป็นแบบย้อนยุค เหมือนเมื่อสมัยสามสิบปีที่แล้ว

จากเวโลโดมถึงถนนนิวยอร์ค

ทำไมวัยรุ่นในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกจึงหันมาขี่ฟิกซ์เกียร์ กระแสความนิยมนี้เกิดขึ้นจากอะไร เราและคนอีกจำนวนไม่น้อยยังสงสัย และหากจะไขข้อข้องใจนี้ การเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มนักขี่ฟิกซ์เกียร์ตัวจริงเสียงจริงก็คงจะเป็นการดีที่สุด

ค่ำวันหนึ่ง ณ ร้าน Sneaka Villa ร้านรองเท้าและเสื้อผ้าสตรีทแวร์ในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นที่รวมตัวของเหล่านักปั่น เราได้พูดคุยกับ สมโภชน์ จินดาอุฬาร หรือ บอล เจ้าของร้าน Sneaka Villa หนึ่งในนักปั่นฟิกซ์เกียร์คนแรกๆ ของเมืองไทย และผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนชาวฟิกซ์เกียร์ในนาม bkk fixed

สมโภชน์ จินดาอุฬาร

“คือจริงๆ มันเริ่มจากการเป็นไบค์แมสเซนเจอร์ครับ ที่นิวยอร์คเขาใช้ในการส่งเอกสาร ที่เริ่มมาใช้จักรยานประเภทนี้เพราะที่โน่นจะไม่ค่อยมีที่จอดรถ ใช้จักรยานทำให้แก้ปัญหาเรื่องที่จอดรถ ทำให้ส่งเอกสารได้รวดเร็ว”

บอลบอกกับเราถึงหน้าที่หลักของจักรยานฟิกซ์เกียร์ ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นพาหนะยอดนิยมของวัยรุ่นในเมืองใหญ่

“เริ่มเลยจะเป็นที่อเมริกา สมัยก่อนฟิกซ์เกียร์จะถูก มันเป็นจักรยานที่ไม่ค่อยมีคนใช้กันเพราะมันไม่มีเบรก พอมันถูกก็เลยมีคนเอามาขี่เยอะขึ้นๆ แล้วพอญี่ปุ่นมาเห็นก็เลยเอาไปขี่บ้าง เพราะที่ญี่ปุ่นเขาจะมีการพนันแข่งจักรยานฟิกซ์เกียร์บนลู่ ที่เรียกว่า ‘เคริน’ (KEIRIN) มันจะคล้ายๆกับการแทงม้า แล้วรถที่ขี่ในลู่ แข่งเสร็จเขาก็ทิ้ง ฝรั่งก็จะมาซื้อรถตรงนี้ไปใช้งาน พอญี่ปุ่นเห็นว่ามันมีวัฒนธรรมตรงนี้ เขาก็เอาจักรยานจากการแข่งขันมาดัดแปลง แล้วเอามาขี่บ้าง พอมีคนขี่มากขึ้นมันก็มีการตกแต่ง มีเรื่องของดีไซน์เข้ามา”

เกรียงไกร พิริยะอนนท์ หรือ ก้อง อีกหนึ่งในสมาชิกกลุ่มจักรยานเล่าถึงกระแสความนิยมของจักรยานฟิกซ์เกียร์ที่ระบาดไปทั่วโลก



เกรียงไกร พิริยะอนนท์

แม้กระแสฟิกซ์เกียร์ในปัจจุบันจะเริ่มต้นขึ้นจากการที่มันมีราคาถูก ทำให้ใครๆ ก็สามารถซื้อหามาใช้ได้โดยไม่ระคายกระเป๋า แต่ก่อนที่มันจะถูกละเลยจากคนทั่วไป จนกลายเป็นจักรยานที่เกือบจะถูกลืม ก้องบอกกับเราว่าฟิกซ์เกียร์เคยเป็นสิงห์สองล้อที่ชูแผงคออย่างสง่าผ่าเผยในเวโลโดมมาก่อน

แต่ที่สิงห์สนามเจ้าเก่าอย่างฟิกซ์เกียร์ต้องถูกปลดระวางจากสนามแข่งจักรยานประเภทลู่ ก็เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้เราสามารถสร้างจักรยานที่มีสมรรถนะดีขึ้น รถจักรยานที่ใช้แข่งขันบนลู่ในปัจจุบันจะทำจากวัสดุที่เป็นฟูลคาร์บอนทั้งหมด ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าฟิกซ์เกียร์มาก เมื่อมีของใหม่ที่ทันสมัยกว่าสิงห์โบราณจึงถูกละเลย

แต่สิงห์ก็ย่อมเป็นสิงห์วันยังค่ำ โดยไม่มีใครคาดคิด สิงห์โบราณอย่างฟิกซ์เกียร์ก็กลับมาครองกระแสความนิยมอีกครั้ง และคราวนี้ยังเป็นการกลับมาครองพื้นที่บนท้องถนนที่เร้าใจกว่าพื้นสนามแข่งเป็นไหนๆ อีกด้วย

เทียบท่าที่สยามสแควร์

นานนับทศวรรษแล้วที่สยามสแควร์ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเมืองท่า ที่แฟชั่นและวัฒนธรรมร่วมสมัยจากต่างแดนจะต้องมาปรากฏตัวในพื้นที่สี่เหลี่ยมแห่งนี้ก่อนจะส่งต่อกระแสความนิยมในด้านต่างๆ ออกไปทั่วประเทศ และกระแสความนิยมล่าสุดที่เพิ่งปรากฏตัวในช่วงปีที่ผ่านมา ก็คือ จักรยานฟิกซ์เกียร์ จักรยานซึ่งเป็นที่หมายปองของวัยรุ่นมากที่สุดในเวลานี้

ในแง่หนึ่งกลุ่มคนขี่ฟิกซ์เกียร์ก็เหมือนกับกลุ่มวัฒนธรรมร่วมสมัยอื่นๆ ที่มีความผูกพันกับแฟชั่น การแต่งตัว และวิถีชีวิตในเมืองใหญ่ นอกจากความเป็นยานพาหนะที่มีระบบขับขี่แบบดิบๆ ซึ่งสร้างความรู้สึกเฉพาะตัวเวลาขับขี่ และรูปแบบย้อนยุคของจักรยานที่ก่อให้เกิดความโดดเด่นด้วยตัวของมันเองแล้ว แฟชั่นการแต่งตัวของกลุ่มนักปั่นฟิกซ์เกียร์ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กลุ่มวัยรุ่นหันมาสนใจสองล้อโบราณชนิดนี้

“เดิมทีผมจะสนใจพวกแฟชั่นสตรีทแวร์อยู่ก่อน แล้วช่วงปีสองปีที่ผ่านมาก็จะเห็นจักรยานฟิกซ์เกียร์มาตั้งโชว์ในร้านเสื้อผ้าสตรีทแวร์ตามอเมริกาหรือญี่ปุ่น เราก็เริ่มสนใจ เริ่มคุยกันว่ามันคือจักรยานอะไร”

ชูเกียรติ ผงทอง หรือ ต้าร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักกับฟิกซ์เกียร์ และเริ่มศึกษาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง คำพูดของต้าร์ และสไตล์การแต่งตัวของกลุ่มนักปั่นส่วนใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งยืนยันว่าจุดเริ่มต้นของฟิกซ์เกียร์ในเมืองไทยก็มาจากแฟชั่นนั่นแหละ ไม่ต่างจากการมาถึงของฮิปฮอป กราฟฟิตี หรือสเก็ตบอร์ดที่ถูกนำเข้ามาเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้วพร้อมกับกางเกงตัวโคร่ง และรองเท้ากีฬาที่ใช้ใส่เล่นสเก็ต

“ส่วนใหญ่ก็จะมีการพับขากางเกง เพื่อไม่ให้ชายกางเกงเข้าไปพันกับโซ่หรือล้อของจักรยานเวลาปั่น”

ก้อง เล่าถึงที่มาของแฟชั่นพับขากางเกงของเหล่านักปั่นฟิกซ์เกียร์ และยังบอกอีกว่ารองเท้าที่เหมาะในการปั่นจักรยานฟิกซ์เกียร์ก็คือรองเท้าผ้าใบที่มีรูปทรงเรียบๆ เพราะจะทำให้ง่ายต่อการยั้งและงัดบันไดจักรยาน แฟชั่นของนักปั่นฟิกซ์เกียร์จึงเป็นการย้อนกลับไปใส่รองเท้าผ้าใบพื้นยาง ที่ไม่ต้องมีระบบกันกระแทกทันสมัยเหมือนกับรองเท้ากีฬายุคใหม่

นอกจากนี้ก็ยังมีแฟชั่นกระเป๋าส่งเอกสารใบใหญ่ที่ชาวฟิกซ์เกียร์จะสะพายคาดเฉียงไว้ด้านหลัง ที่มาก็คงไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวแล้ว ก็มาจากพนักงานส่งเอกสารในนิวยอร์คที่ขี่จักรยานฟิกซ์เกียร์เป็นกลุ่มแรกนั่นแหละ

แฟชั่นกระเป๋า รองเท้า รวมถึงการพับขากางเกงไม่ได้รับความนิยมอยู่แต่ในหมู่นักปั่นฟิกซ์เกียร์เท่านั้น การแต่งตัวของวัยรุ่นบางกลุ่มที่เดินอยู่ตามซอกซอยสยามสแควร์ก็ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นของนักปั่นด้วย อาจเป็นเพราะจักรยานฟิกซ์เกียร์ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทำให้ตามหน้านิตยสารแนวสตรีทแวร์ทั้งของไทยและต่างประเทศ ก็จะมีแฟชั่นแบบนี้ให้เราได้เห็นกันเสมอ

“ตอนนี้ฟิกซ์เกียร์มันมาบูม คนก็คิดว่ามันเท่ แต่ไม่รู้ว่าวัฒนธรรมของมันจริงๆ คืออะไร”

ก้องบอกกับเราว่ามีวัยรุ่นบางคนที่ซื้อจักรยานฟิกซ์เกียร์มาขี่ เพราะอยากมีจักรยานเหมือนที่เห็นในนิตยสารแฟชั่น และท้ายที่สุดก็ต้องขายจักรยานทิ้งไปเพราะไม่ได้ชอบมันจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสิ้นเปลือง เพราะเมื่อฟิกซ์เกียร์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มันก็ไม่ใช่ยานพาหนะราคาถูกอีกต่อไป จักรยานฟิกซ์เกียร์คันหนึ่งๆ มีราคาค่อนข้างแพง หากมีเงินอยู่ในมือไม่ถึง 40,000 บาท คงต้องบอกว่าโอกาสในการเป็นเจ้าของจักรยานฟิกซ์เกียร์ของคุณยังริบหรี่นัก

แต่ถ้าเงินในกระเป๋าพร้อมแล้วล่ะก็ แค่คลิกเข้าไปที่ http://www.katsueonline.com/bkkfixed/ ในเว็บบอร์ดของกลุ่ม bkk fixed คุณจะได้พบกับแหล่งซื้อขายแลกเปลี่ยนอุปกรณ์ และเรื่องราวของเจ้าจักรยานฟิกซ์เกียร์ ที่เหล่านักปั่นจะนำข้อมูลใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังอยู่ตลอด

เร้าใจ...ไม่มีเบรก

นอกจากแฟชั่นและความเร้าใจของฟิกซ์เกียร์ที่ทำให้มันเป็นที่สนใจแล้ว การที่มันไม่มีเบรกมือก็ยังก่อให้เกิดคำถามเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่จักรยานชนิดนี้บนท้องถนน และกฎหมายบังคับเกี่ยวกับเบรกของจักรยาน

“ในประเทศไทย เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรจักรยานอยู่แล้ว ไบซิเคิลเลนก็มีท่อขวางอยู่ แล้วแนวท่อตรงกับแนวล้อจักรยาน ขี่ไปล้อก็ติด หัวทิ่มเอาง่ายๆ” เมื่อถามถึงเรื่องเบรกกับกฎหมายจักรยาน ชัช กลับเล่าถึงปัญหาที่ต้องเจอบนถนนกรุงเทพฯ แทน

“เมืองไทยจะไม่ฟิกซ์เรื่องจักรยานมาก อย่างที่ญี่ปุ่นก็จะบังคับติดเบรกหน้าทุกคัน มันก็แล้วแต่ประเทศ ที่ญี่ปุ่นจะฮิตฟิกซ์เกียร์มาก เขาก็จะติดเบรกหลอกข้างหน้าแต่ว่าไม่ติดสายเบรก เพื่อให้หนีตำรวจได้ หรือไม่บางคนก็จะเอาออกมาขี่ตอนกลางคืนอย่างเดียว แต่ที่ฮ่องกงก็จะบังคับแค่ติดไฟ ใส่หมวก”

“ที่อเมริกาเขาจะมีกฎหมายคุ้มครองเต็มที่ถ้าเราประสบอุบัติเหตุ เขาก็ออกกฎว่าต้องใส่หมวกกันน็อค ต้องมีใบขับขี่ ต้องติดไฟ ถ้ารถฟิกซ์เกียร์ต้องมีตะกร้อที่ใส่เท้าตรงบันไดจักรยาน ไม่งั้นโดนจับ ถ้าไม่ติดเบรกต้องใส่ตะกร้อ ถ้าไม่ใส่ตะกร้อต้องติดเบรก ไม่งั้นไม่ขาย เพราะตะกร้อมันจะช่วยในการควบคุมจักรยาน”

บอลเล่าถึงความแตกต่างของกฎหมายจักรยานในแต่ละประเทศ ขณะที่ก้องก็เล่าถึงข้อบังคับเกี่ยวกับจักรยาน ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เขาเคยมีประสบการณ์ในการใช้จักรยานฟิกซ์เกียร์ที่นั่น แต่ในประเทศไทยเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกว่า ถึงจะมีหรือไม่มีกฎหมายจักรยานก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เพราะไม่มีมาตรการสำหรับรองรับในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุกับจักรยานโดยเฉพาะ

“เรื่องกฎหมายเราไม่เคยคิดกันอยู่แล้ว แต่ที่คนขี่ฟิกซ์เกียร์บางคนใส่หมวก เพราะเขาจะเล่นท่าแบบเอ็กซ์ตรีม ถ้าล้มก็เจ็บ ก็เลยต้องกันไว้เท่านั้นเอง เราไม่คิดว่าต้องใส่ใจกับกฎหมายที่ไม่คุ้มครองเรา”

“เรื่องกฎหมายเราไม่เคยคิดกันอยู่แล้ว แต่ที่คนขี่ฟิกซ์เกียร์บางคนใส่หมวก เพราะเขาจะเล่นท่าแบบเอ็กซ์ตรีม ถ้าล้มก็เจ็บ ก็เลยต้องกันไว้เท่านั้นเอง เราไม่คิดว่าต้องใส่ใจกับกฎหมายที่ไม่คุ้มครองเรา”

ก้องพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ เมื่อเล่าถึงการขบถเล็กๆ ของพวกเขา ต่อกฎหมายที่ไม่เคยสนใจ และไม่เคยมีความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้ขี่จักรยาน

ถึงตรงนี้แล้ว หากยังมีใครคิดจะถามว่าการขี่จักรยานฟิกซ์เกียร์ซึ่งเป็นจักรยานที่ไม่มีเบรกมือนั้นมีความปลอดภัยแค่ไหน หรือแค่ติดเบรกมันยากนักหรือไง กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็คงจะตั้งคำถามตอกกลับไปว่า

...แล้วเลนจักรยานที่ได้มาตรฐาน กับกฎหมายที่จะออกมาคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยของคนขี่จักรยานอย่างพวกเขาล่ะ...มีไหม?




ใครที่ชื่นชอบการแข่งขันกีฬาจักรยานในร่ม คงจะคุ้นๆ ตากันมาบ้าง สำหรับจักรยานหน้าตาคลาสสิคทว่าท่วงท่าลีลาจี๊ดจ๊าดของเล่นของวัยรุ่นยุคใหม่

ของเล่นที่บรรดาวัยรุ่นยุคนี้นำมาโชว์กันตามสถานที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพและต่างจังหวัด

สมโภช จินดาอุฬาร หรือบอล วัย 27 ปี หรือที่รู้จักกันในวงการสตรีทแฟชั่นว่า "Ballistic" คือสาวกรุ่นบุกเบิกของกระแสความนิยมจักรยาน Fixed Gear ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของร้าน Sneaka Villa มีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองที่ย่านสยามสแคว์

ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม BKK Fixed กลุ่มจักรยาน Fixed Gear กลุ่มแรกของเมืองไทย เขาเล่าถึงที่มาของจักรยานที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Fixie ว่ามาจากสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มคนที่เรียกว่า Bike Messenger หรือคนส่งเอกสารนำจักรยานนี้มาใช้แทนมอเตอร์ไซค์ เพราะเดินทางสะดวกและหาที่จอดง่าย

"แต่เดิม Fixed Gear คือจักรยานที่ใช้แข่งขันประเภทลู่ (รถที่ใช้แข่งขันในเวลโลโดม) นั่นเอง แต่บรรดา Bike Messenger ไปซื้อรถเหล่านี้มาใช้ บางคันอาจหมดสภาพไปแล้ว เคยล้มบ้าง ชิ้นส่วนบุบชำรุด หรือแข่งจบแล้วไม่รู้จะเอามาทำอะไร นักกีฬาก็นำมาขายในราคาถูก แล้ว Fixed Gear เป็นจักรยานที่ดูแลรักษาง่าย วัสดุที่ใช้ค่อนข้างแข็งแรง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก จะมีปัญหาก็แค่การเปลี่ยนยางเพราะยางแตก ไม่ต้องติดเบรกเพราะใช้เท้าเบรกแทน ซึ่งนอกจากจะใช้ในการประกอบอาชีพแล้ว คนพวกนี้ยังใช้เวลาเลิกงานรวมกลุ่มกันเพื่อเล่นทริกเล่นท่าด้วย"

"หลังจาก fixed gear ปรากฎโฉมบนท้องถนนได้ไม่นาน ความสนใจก็เริ่มขยายตัวออกไป โดยเริ่มที่เมืองนิวยอร์กก่อน จากนั้นก็แพร่หลายไปยังเมืองใหญ่ๆ อาทิ ซานฟรานซิสโก ชิคาโก ฯลฯ พอเริ่มบูมคนที่ไม่ใช่ Bike Messenger ก็อยากจะลองปั่นจักรยานแบบนี้ดูบ้าง ซึ่งเจตนาจริงๆ คือการเล่นทริกอย่างเดียว" สมโภช กล่าวก่อนจะเล่าต่อว่าเขารู้จักกับจักรยาน Fixed Gear เมื่อรุ่นพี่คนหนึ่งจากนิวยอร์กได้นำจักรยานประเภทนี้กลับเมืองไทยด้วย ทีแรกก็แค่สงสัยว่านี่คือจักรยานอะไร แต่หลังจากที่ได้เดินทางไปนิวยอร์กจึงรู้ว่าคนที่นั่นนิยมมาก ทำให้เกิดความรู้สึกอยากทดลองขึ้นมาทันที

"ตอนนั้นเงินไม่พอและคิดว่าคงขนกลับมาลำบาก พอกลับมาเมืองไทยผมไล่ตามหาเลย เพราะเขาบอกว่าที่เมืองไทยมีคนได้รถจักรยาน Fixed Gear มาจากคนญี่ปุ่น ต้องอธิบายก่อนว่าที่ญี่ปุ่นมีกีฬาประเภทนี้อยู่แล้วเรียกว่า เพ-ลิน แต่เขาปั่นแข่งกันในลู่ จักรยาน Fixed Gear ที่ปั่นในลู่นั้น คนนิยมกันมากเพราะกีฬานี้มันคล้ายๆ ม้าแข่ง ซึ่งคนดูสามารถแทงพนันได้ ตอนนั้นคนญี่ปุ่นมาเที่ยวและเอาจักรยานมาซ้อมที่เมืองไทย ก่อนกลับเขาได้ปล่อยขายให้กับร้านจักรยานร้านหนึ่งที่เมืองไทย"

หลังจากตามล่าหาจักรยานอยู่พักหนึ่ง สมโภชก็ได้รับการแนะนำให้สอบถามไปยังนักแสดงชื่อดังที่ชื่นชอบ Fixed Gear เช่นเดียวกัน "เจ-มณฑล จิรา เขาปั่น Fixed Gear อยู่แล้วตั้งแต่อยู่นิวยอร์ก พอกลับมาอยู่เมืองไทยเขาก็เอาจักรยานมาด้วย ซึ่งตอนนั้นเขามีอยู่ 3 คัน ผมเลยหาเบอร์ติดต่อเพื่อขอซื้อจักรยาน ซึ่งเขาก็ขายให้เพราะอยากให้มีคนปั่นที่เมืองไทยเยอะๆ"

ในขณะนั้นคนที่ปั่น Fixed Gear จริงๆ น่าจะมีแค่ 4 คนเท่านั้น พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า "BKK fixed" หลังจากรวมตัวกันครบ 1 ปี มีการจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกมีคนเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 30-40 คัน ซึ่งถือว่าไม่มาก กระทั่งล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วการแข่งขัน Fixed Gear ซึ่งจัดขึ้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีคนสนใจเข้าร่วมงานกว่า 200 คัน

โดยรูปแบบการแข่งขันจำลองมาจากงานอาชีพของพวก Bike Messenger คือมีการตั้งจุด Check Point ทั้งหมด 10 จุด ใครสะดวกไปตรงไหนก่อนก็ได้ แล้วแต่การวางแผนของแต่ละทีม ซึ่งผู้ทางผู้จัดจะบอกแผนที่ก่อนวันแข่ง 1 วันเท่านั้น เมื่อไปถึงแล้วให้เซ็นชื่อ สุดท้ายใครทำเวลาดีที่สุดถือเป็นผู้ชนะ

"ผมว่าการแข่งขันแบบนี้เหมือนการผจญภัย เราไม่สามารถรู้ว่าไฟจราจรถนนเส้นนั้นเส้นนี้ไฟมันจะเขียวหรือมันจะแดง รถจะติดหรือไม่ติด"

จากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่เมืองไทยมีกลุ่ม Fixed Gear เป็นเรื่องเป็นราว เขาบอกว่าสมัยแรกๆ ที่ยังไม่เป็นที่นิยม สามารถหาซื้อจักรยานได้ในราคาไม่แพง งบประมาณไม่เกิน 15,000 บาทก็ซื้อได้ แต่ตอนนี้ถ้าแต่งมาให้สวยๆ ราคาคันละประมาน 4 หมื่นกว่าบาทเลยทีเดียว แถมยังหาไม่ยาก เพราะมีหลายแห่งที่นำเข้า Fixed Gear แบรนด์ต่างประเทศ อย่าง Fuji, Biangchi และ Masi ซึ่งในมุมมองของเขาเสน่ห์จักรยานนี้ คือความแปลกใหม่และท้าทาย

"สิ่งที่แตกแตกต่างจากจักรยานทั่วๆ ไปคือ มันมีเกียร์เดียว ไม่จำเป็นต้องมีเบรกหรือใครอยากจะมีเบรกก็ได้ แต่ไม่มีจะเฟี้ยวกว่า อีกอย่างที่ไม่มีเหมือนจักรยานประเภทอื่นเลยก็คือ ในส่วนของดุมหลังจะเป็นของ Fixed Gear โดยเฉพาะเมื่อใส่สเตอร์แล้ว เวลาปั่นไปดุมหลังจะหมุนแล้วสเตอร์มันจะหมุนกลับไม่ได้ ถ้าล้อหลังกำลังหมุน ขาจานก็จะหมุนตามไปด้วย ทีนี้เวลาเราจะเบรกจะเหนื่อยหน่อยตรงที่ต้องฝืนการปั่นเอา โดยการเอาเท้าเราไปสวมที่ตะกร้อบริเวณบันไดหรือลูกถีบ แล้วยั้งขาไม่ให้ปั่นไว้"

นอกจากนี้ความสนุกสนานยังอยู่ที่สามารถปั่นถอยหลังได้ด้วย "เวลาเราปั่นต้องจินตนาการล่วงหน้าตลอดเวลา หากเจอไฟจราจรต้องคิดแล้วว่าจะเร่งหรือจะผ่อนความเร็วดี จะทันไฟเขียวหรือเปล่าเพราะรถเราไม่มีเบรก ถือว่าอันตรายนะถ้ายังไม่ชำนาญ แต่ถ้าเรามีความพร้อมเรื่องพื้นฐานก็ไม่น่าห่วงอะไร แต่ทางที่ดีควรซ้อมกับเพื่อนในซอยหรือหน้าบ้านอะไรให้ชัวร์ก่อนออกไปถนนใหญ่"

ทุกวันนี้แวดวง Fixed Gear บ้านเราถือว่าคึกคักอย่างยิ่ง ในกรุงเทพฯ กลุ่มใหญ่ๆ ก็จะมีแถวอ่อนนุช บางเขน เกษตรนวมินทร์ สยาม ลานพระบรมรูปทรงม้า ไกลหน่อยก็มีที่คลอง 6 หน้าเมืองเอก มหาวิทยาลัยรังสิต สำหรับต่างจังหวัดก็ไม่น้อยหน้า ทั้งเชียงใหม่ นครสวรรค์ พัทยา บางแสน โคราช หาดใหญ่ และอีกหลายที่กำลังเริ่มต้น

ในความเห็นของสาวก Fixed Gear ความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ใช่แค่กระแสแฟชั่น และพวกเขาก็ไม่ได้อยากเป็นเทรนด์เซตเตอร์

แต่อยากให้มองว่า นี่คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่จะสนุกเป็นกลุ่ม หรือสะดวกคนเดียวก็ได้..ตามอัธยาศัย

มิวเซียมสยาม



มิวเซียมสยามพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้

เราคือใครและความเป็นมาของไทยหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง ณ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ใหม่ล่าสุดที่จะพาผู้ชมย้อนมิติผ่านกาลเวลาไปกว่า 2,500 ปี
มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ตั้งอยู่ที่ถนนสนามไชย บริเวณท่าเตียน เป็นพิพิธภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในความดูแลของสถาบันการเรียนรู้แห่งชาติ ซึ่งได้ปรับปรุงอาคารเก่าของกระทรวงพานิชย์เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยแต่ยังคงความสง่างามของสถาปัตยกรรมและโครงสร้างเดิมเอาไว้

ใช้งบประมาณการปรับปรุง 134 ล้านบาท และออกแบบนิทรรศการโดยทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ Lord of The Ring เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อันรื่นรมย์สำหรับเยาวชน ประชาชนทั่วไป รวมถึงชาวต่างประเทศ ในเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของคนไทยและดินแดนอุษาคเนย์

การจัดแสดงต่าง ๆ ทั้งสามชั้นของอาคาร ในพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร ใช้สื่อสร้างสรรค์ที่ทันสมัย ร้อยเรียงเรื่องราวตามลำดับขั้นตอนเพื่อค้นหาความเป็นไทย โดยแบ่งออกเป็นสามช่วง คือ 1. จากสุวรรณภูมิ 2. ถีงสยามประเทศ 3. สู่ประเทศไทย แต่ละช่วงมีการจัดแสดงต่าง ๆ ทั้งแบบจำลอง ภาพ และวัสดุจัดแสดงที่จับต้องได้และให้ความรู้สึกเหมือนร่วมเดินทางสู่อดีตกาลก่อนจะทะลุมิติกาลเวลามาถึงปัจจุบัน

เป็นนิทรรศการที่บูรณาการของความรู้หลากหลายด้านทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา โบราณคดี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้อย่างน่าติดตาม

การเดินทาง พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ตั้งอยู่ที่ถนนสนามไชย บริเวณท่าเตียน ติดกับ สน.พระราชวัง หากขับรถส่วนตัวมา ใช้เส้นทางจากถนนราชดำเนินผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม สวนสราญรมย์ด้านซ้ายมือ จะเห็นป้ายบอกทางรูปคนสีแดงตามถนนสนามไชยไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ด้านขวามือ

รถประจำทางที่ผ่าน สาย 3, 6, 9, 12, 32, 44, 47, 53, 82,524

เรือข้ามฟาก หรือเรือด่วนเจ้าพระยาขึ้นจากเรือที่ท่าเตียนแล้วเดินมาทางซ้ายมือผ่านวัดโพธิ์และโรงเรียนตั้งตรงจิตรพาณิชยการ มายังพิพิธภัณฑ์

สิ่งอำนวยความสะดวก ลานจอดรถ ร้านอาหารเครื่องดื่ม ร้านขายของที่ระลึก รถเข็นคนพิการ

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ สวนสราญรมย์ ปากคลองตลาด


อัตราค่าเข้าชม
เข้าฟรี : เยาวชนไทยและต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปี
ส่วนสูงต่ำกว่า 150 ซม.
พระภิกษุสงฆ์ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
เสียค่าบริการ : นักเรียน นักศึกษา อายุ 15 ปีขึ้นไป 50 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย 100 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 300 บาท
หมู่คณะ 5 คนขึ้นไป : นักเรียน นักศึกษา 25 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย 50 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ 150 บาท
**หมายเหตุ - ตั้งแต่เวลา 16.00 - 18.00 น. ของทุกวันทำการ เข้าชม ฟรี!!
เข้าชมมิวเซียมสยาม ฟรี!! แก่ผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ตรงกับวันเปิดทำการของพิพิธภัณฑ์ฯ 6 วัน ดังนี้
1.วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2552 (วันอาสาฬหบูชา)
2.วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2552 (วันเข้าพรรษา)
3.วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2552 (วันแม่แห่งชาติ)
4.วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2552 (วันปิยมหาราช)
5.วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2552 (วันพ่อแห่งชาติ)
6.วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2552 (วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ)
เวลาทำการ
10.00-18.00 วันอังคาร-วันอาทิตย์
กิจกรรมพิเศษทุกเย็นวันศุกร์ที่ลานเพลิน
หยุดทำการวันจันทร์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทร.02-225-2777 โทรสาร.02-225-2775 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.ndmi.or.th








PCI

ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Hard Drive, อุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ, LAN card, Sound Card, USB และ Firewire จะส่งข้อมูลภายในระบบโดยผ่าน I/O เดียวกัน ซึ่งเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยเครื่อง PC รุ่น 486 ซึ่ง PCI bus จะส่งถ่ายข้อมูลที่ 33 MHz และสูงสุดได้ที่ 133 MHz ซึ่งในปัจจุบัน Pentium 4 กับ Memory DDR นั้นส่งข้อมูลซึ่งกันและกันได้ที่ 2.1 GB/s โดยผ่าน Memory Bus อีกทั้ง AGP 8x สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 2.1 GB/s ด้วยเช่นกัน โดยยังคงมี PCI ซึ่งเป็น Technology เก่าและเป็นตัวที่ทำให้เกิดการกระจุกตัวของข้อมูลเนื่องจากความเร็วที่ยังไปไม่ถึงไหน


ณ ปัจจุบันได้มีแนวทางใหม่เพิ่มความเร็วสำหรับ PCI โดยมีการออกแบบ PCI-X (extended) และ PCI Express ขึ้นมาแต่ยังคงอาศัยหลักการและต้นแบบของ PCI ในสมัยปี 90 มาใช้ ซึ่งวิธีการทั้งสองได้ถูกแจ้งเกิดโดยกลุ่ม PIC-SIG (Peripheral component interconnect –specification) โดยแยก ให้ PCI-X นั้นสำหรับ Server และ PCI Express สำหรับ PC โดย ณ ที่นี้จะเน้นที่ PCI Express ในวันที่ 17 เมษายน 2002 ได้มีการเปิดตัวมาตรฐาน PCI Express (3GIO หรือ 3rd Generation I/O โดยมี ISA เป็น 1st Generation และ PCI เป็น 2nd Generation) ซึ่งเป็น Technology PCI แบบใหม่ที่ยอมให้อุปกรณ์ภายใน PC นั้นเช่น CPU ติดต่อโดยตรงกับอุปกรณ์ที่ต้องการติดต่ออยู่ได้ทั้งหมดโดยแยกจากกันเป็นอิสระ และสามารถเชื่อมต่อกันได้เต็ม bandwidth ซึ่งเป็นแบบ Point to Point หรือติดต่อกันโดยไม่ต้องแบ่ง bandwidth กับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆเลย


รูป Slot เทียบระหว่างบน PCI แบบเดิม กับ ล่าง PCI Express x16 164-pin


โดย PCI Express ได้ออกมา 2 Version คือ X1 ซึ่งใช้กับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการ Bandwidth สูง หรือเพียง 400 MB/s และ X16 ที่ใช้กับ Graphic Card ที่ 4 GB/s ระบบ Bus ยังคงเป็นแบบอนุกรมซึ่งสามารถส่งและรับข้อมูลได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน คล้าย Technology Hypertransport ของ AMD โดยจะส่งข้อมูลอยู่ในรูแบบของ Packet เป็นแบบเดียวกับการทำงานของ OSI model ใน Layer 3 (network Layer) การส่งข้อมูลของ PCI Express จะส่งไปตาม Line หรือ Lane ซึ่งต่อตรงกับอุปกรณ์ที่กำลังติดต่อด้วย และ ค่าที่ระบุว่ามีกี่ Line หรือ Lane คือ ตัวเลขหลัง “X” โดย x1 = 1 Line, x4 = 4 Line, x8 = 8 Line และ x16 = 1 6 Line สำหรับความเร็วนั้นเนื่องจาก PCI Express จะส่งข้อมูลไปกลับได้พร้อมกัน จึงต้องคิดเป็น 2 เท่า ฉะนั้น เมื่อความเร็วถูกระบุที่ 1 GB/s สำหรับ 4x ความเร็วรวมจะอยู่ที่ 2 GB/s



รูป Mainboard BTX ต้นแบบที่มีหลากหลาย Slot อยู่รวมกัน


PCI Express พร้อมที่จะรองรับ Driver ของ PCI ที่ใช้ Software และ OS ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังประหยัดพลังงานโดย PCI จะใช้แรงดันที่ 5 V แต่สำหรับ PCI Express ใช้เพียง 3.3 V ยังรวมการทำงานแบบ Hot-Pluggable (เสียบ Card โดยไม่ต้อง ปิดเครื่อง) ส่วนการทำงานในด้าน Graphic ระดับ High end นั้น PCI Express ได้ถูกออกแบบให้รองรับการใช้พลังงานที่สูงถึง 75 W ซึ่งจะแบ่งเป็นชนิด x1 จะใช้พลังงานตามการออกแบบอยู่ที่ 25W ในความเป็นจริงใช้เพียง 10W และที่เกินนั้นรองรับ PCI Express x8 slot ขณะที่ AGP เองรองรับได้25 W ถึง 42 W เท่านั้น ในส่วนของอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงที่ต้องการต่อออกจาก PCI Express Slot นั้นจะใช้ Cable ได้ยาวถึง 5 เมตร



PCI Express ที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลต่างกันสามารถใช้งานด้วยกันได้ เนื่องจากการออกแบบที่ได้ถูกพิจารณาตั้งแต่แรกของ PCI Express สามารถที่จะใช้งานร่วมกันได้ เช่น ถ้ามี Card PCI Express ชนิด x8 ก็สามารถใช้ได้กับ Slot ที่มีความเร็วที่สูงกว่า คือ x16 แต่ยังคงวิ่งอยู่ที่ 4 เลนเหมือนเดิม


รูป Slot เทียบระหว่าง PCI Express x16 กับ PCI Express x1



ส่วน PCI-X เป็น Technology Bus ที่ใช้ใน PC โดยให้ Chip นั้นแลกเปลี่ยนข้อมูลได้เร็วกว่า PCI แบบเก่า PCI-X ในปัจจุบันมี 2 version PCI-X 1.0 และ PCI-X 2.0 โดย Version 1.0 รองรับในระดับความเร็วตั้งแต่ PCI-X66 ถึง PCI-X133 ส่วนใน Version 2.0 จะรองรับที่ PCI-X 66 ถึง PCI-X 533 ซึ่งจะสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 4.2 GB/S โดยตัวเลขที่ต่อท้าย X นั้นระบุถึงค่า MHz ของ clock โดย BUS สำหรับ PCI-X อยู่ที่ 64 Bit


ตารางเปรียบ PCI ชนิดต่างๆ